ผมเคยได้ยินมาว่าด่านซ้ายเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งของจังหวัดเลย ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาล้อมรอบ แต่ทว่าด่านซ้ายเป็นเพียงแค่เมืองทางผ่านของใครหลายคนที่จะเดินทางไปเที่ยวภูเรือหรือเชียงคานเท่านั้น แต่สำหรับผมแล้วมันคือจุดมุ่งหมายที่เราปักหมุดไว้แล้วว่าต้องไปที่นี่และผมเลือกที่จะมาที่นี่เท่านั้น อาจจะเป็นเพราะนี่คือการมาเยือนของผมครั้งแรกที่มีเหตุดลใจว่าอยากมาไหว้พระธาตุศรีสองรักก่อนที่ผมจะเดินทางต่อไปยังจังหวัดขอนแก่นเพื่อภารกิจส่วนตัว
ผมเดินทางจากกรุงเทพโดยรถทัวร์ปรับอากาศกรุงเทพ – ภูเรือ ค่าโดยสาร 400 บาทเท่านั้น ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพเพียงหกชั่วโมงก็ถึงด่านซ้ายแล้วแต่ผมเลือกเดินทางตอนดึกเลยไม่สามารถมองทัศนียภาพข้างนอกได้ รู้แต่เพียงว่าพอพ้นหล่มเก่าก็เป็นการข้ามภูเขาก็มาลงที่ด่านซ้ายพอดี ผมมาถึงเกือบๆ ตีห้า แต่ท้องฟ้ายังมืดเลยได้แต่นั่งเล่นบริเวณที่เขาเรียกว่าคิวรถไปกรุงเทพเพียงลำพัง พอใกล้รุ่งสางเห็นสามล้อเครื่องผ่านมาเลยโบกให้ไปส่งที่ตลาดเช้า ค่าโดยสารยี่สิบบาท แล้วผมก้ได้ฝากท้องมื้อแรกข้าวเหนียมหมูปิ้งที่นี่เอง
หน้าฝนแต่อากาศยามเช้าที่นี่กลับเย็น เริ่มใกล้สว่างแล้ว ผู้คนที่มาจับจ่ายตลาดยามเช้าก็เริ่มทยอยกลับบ้าน เมืองเล็กๆ แห่งนี้เริ่มมีเสน่ห์ขึ้นแล้ว ผมมองเห็นเทือกเขารายล้อมด่านซ้าย มองเห็นไอหมอกลอยผ่านภูเขา มองเห็นพระสงฆ์หลายรูปออกบิณฑบาตร เห็นผู้คนใส่บาตรยามเช้า เห็นบรรยากาศที่สงบและสวยงาม
ผมนั่งรอที่วัดจนแปดโมงเช้าและแล้วพี่ผู้หญิงสองคนน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ทางวัดได้มาเปิดพิพิธภัณฑ์ผีตาโขนให้ผมเข้าชมแล้ว ค่าเข้าฟรีแต่ก็มีทำบุญค่าดูแลรักษาตามแต่ศรัทธา ที่นี่ได้รวบรวมข้อมูลที่เป็นเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของชาวด่านซ้าย ซึ่งนับว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าศึกษาและน่าชื่นชมเป็นอย่างมาก เอกลักษณ์ที่เด่นของที่นี่หนีไม่พ้นประเพณีแห่ผีตาโขน ใครอยากทราบที่มาที่ไปมาสืบค้นที่นี่ได้ แต่ผมชักจะชอบหุ่นผีตาโขนที่จัดแสดงเสียแล้ว เลยขอเก็บภาพมาเป็นที่ระลึกสักหน่อย
ภายในอาคารจัดแสดงหุ่นผีตาโขนและหน้ากากผีตาโขนจำนวนมาก ผมเคยคิดอยากมาเที่ยวชมตอนเขามีประเพณีแห่ผีตาโขนแต่ไม่มีโอกาสสักที เพราะไม่ตรงกับวันหยุดและผมลางานช่วงดังกล่าวไม่เคยได้เลย เอาเป็นว่ามาเก็บภาพหุ่นนิ่งแทนก็คงไม่เลว
ผมเดินเล่นเดินชมจนเวลาล่วงเลยมาเก้าโมงเช้าแล้ว จึงตัดสินใจออกเดินทางต่อโดยสองเท้านี่แหละ จุดหมายต่อไปคือการมาไหว้พระธาตุศรีสองรัก เดินออกจากวัดโพนชัยแล้วเลี้ยวซ้ายมือ พอเจอสี่แยกเลี้ยวขวามือ เดินไปตามถนนใหญ่เรื่อยๆอีกกิโลกว่าๆ มีป้ายเล็กๆบอกทางและจะพบทางเข้าพระธาตุศรีสองรักซึ่งอยู่ข้างธนาคารออมสินพอดี ผมเลือกวิธีเดินเพราะไม่ไกลนัก ประหยัด ออกกำลังกาย เดินชมบรรยากาศแถมไม่ร้อน ข้ออ้างผมเยอะเหลือเกิน ผมเตรียมตัวทำการบ้านมาอย่างดีไม่ใส่เสื้อที่มีสีแดงเป็นองค์ประกอบ หรือแม้แต่กระเป๋าเป้ก็ไม่มีแถบแดงด้วย ก่อนเดินเข้าสู่องคืพระธาตุจะเดินเสาโคมไฟที่ทำเป็นรุปต้นผึ้ง
พระธาตุศรีสองรักตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆริมลำน้ำหมัน ผมอ่านเจอจากหลายๆข้อมูลกล่าวถึงพระธาตุศรีสองรักว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งสัจจะและไมตรีที่ดีต่อกันของกรุงศรีอยุธยาและกรุงศรีสัตตนาคนหุตล้านช้าง องค์พระธาตุเป็นรุปทรงแบบล้านช้างสีขาวแต่ผมสังเกตเห็นยอดเอียงไปทางซ้าย ถ้ามองดีๆจากรูปนี้
อ้อ !!!ต้องถอดรองเท้าก่อนขึ้นบันไดไปนะครับ
วันนี้มีสองโชค
โชคแรกคือโชคร้าย ท้องฟ้ามีเมฆมาก ฟ้าขาวแบบจ้าๆทั้งวัน
แต่โชคดีเยอะกว่า วันนี้คนมาน้อย อากาศไม่ร้อนแถมเย็นสบาย ผมได้มาไหว้และถ่ายรูปพระธาตุศรีสองรักสมใจอยาก ถ้าจะดีกว่านี้ขอให้พรที่ขอไปสมปรารถนาด้วยทีเถิด สาธุ๊ๆๆๆๆ
เอาเป็นว่าธีมนี้ขอมาในภาพสีขาวดำแทนก็แล้วกันนะครับ เผื่อครั้งหน้าฟ้าเป็นใจจะเก็บวันฟ้าใสมาฝาก
แม้วันนี้ฟ้าไม่เปิดไม่เป็นไร นับว่าเป็นอีกประสบการณ์การเดินทางใหม่ที่เป็นครั้งแรกที่ได้มาเที่ยวที่นี่สมความตั้งใจผมแล้ว แค่ได้ออกมาสูดอากาศอันบริสุทธิ์ หลีกหนีความวุ่นวายของสังคมกรุงเทพ ได้มาเห็นภูเขาที่ทอดยาวมีต้นไม้เขียวขจี ก็นับว่าโชคดีอีกอย่างแล้ว (หลายคนยังไม่มีโอกาสได้มาเลย อิจฉาไหม) ผมยืนอยู่หน้าซุ้มประตูทางขึ้นมองลงมายังเบื้องล่างเห็นสีเขียวแล้วดูสดชื่น ชาร์จพลังให้เดินทางต่อได้อีก
ผมใช้วิธีเดินกลับนี่แหละเพราะไม่รู้จะไปเรียกรถที่ไหน แต่ขอบอกว่าเดินเอาก็ได้แปบเดียวเอง ออกกำลังกายด้วย และผมก็มารอรถที่จะเดินทางเข้าเมืองเลยต่อ ด้วยรถโดยสารสายอุดร พิษณุโลก ที่จะผ่านด่านซ้ายและแวะจอดรับผู้โดยสาร ค่าโดยสาร 65 บาท เดินทางราวๆหนึ่งชั่วโมงเศษๆ ผ่านอำเภอภูเรือและเข้าสู่ตัวจังหวัดเลย
มาถึงเมืองเลยตอนบ่ายโมงและผมก็ต้องต่อรถอีกครั้ง โห เดินทางตลอดแบบไม่ได้พักเลย ผมอาศัยงีบหลับบนรถบ้างเป็นครั้งคราว แถวข้าวเที่ยงไม่ได้กินอีกต่างหาก ดีที่ผมเตรียมเสบียงขนมปังและน้ำดื่มมาจากกรุงเทพเต็มเป้แล้วแค่นี้ก้พอประทังชีวิตไปก่อน และสงสัยวันนี้จะไม่มีแดดให้ผมเห็นจริงๆเสียแล้ว เพราะวันนี้เมืองเลยคงถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก จุดหมายปลายทางที่ผมต้องไปคือจังหวัดขอนแก่นนี่เอง เพราะผมนัดกับเพื่อนๆรุ่นเดียวกันสมัยเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น เย็นนี้เรามีเลี้ยงรุ่นกันเป็นการเฉพาะกิจตามแต่ใครว่าง เดินทางจากเมืองเลย ถึงขอนแก่นใช้เวลาสี่ชั่วโมง ค่ารถ 143 บาท ผมขอลงป้ายหน้ามอเพื่อต่อรถเข้าไปยังจุดนัดพบกับเพื่อนๆ
มาเก็บเอาบรรยากาศเก่าๆ ที่ๆเราเคยยืน บึงสีฐาน เมื่อครั้งที่รับพระราชทานปริญญาบัตรที่นี่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงนัก
เดินเก็บภาพหอศิลปวัฒนธรรม มข ซึ่งเขาว่ารูปทรงเป็นเหมือนกระติ๊บข้าวชาวอิสาน
ลายขิดอิสานอยู่ที่ผนังหอศิลป์
ระหว่างรอรถสองแถวสีฟ้าสาย 8 เก็บบรรยากาศทิวสนสีฐานที่อยู่คู่กับ มข มานานนับห้าสิบปี รปภ เดินมาถามผมด้วยความสงสัยว่าผมถ่ายรุปไปทำไมหรือ เพราะเขาบอกว่าปกติไม่เห็นมีใครมายืนถ่ายตรงนี้เลย ผมเลยตอบไปแบบซื่อๆว่า ผมเป็นศิษย์เก่ามาถ่ายลงเฟสบุคและ pantip ผมยิ้มแล้วเดินจากไป
ผมนัดรวมกลุ่มกับเพื่อนๆราวๆหกโมงเย็น นัดเจอกันหน้าหอสมุดกลางที่เห็นเบื้องหน้า ระหว่างนั้นเห็นขบวนของน้องนักศึกษาใหม่เดินขบวนอะไรสักอย่างนี่แหละไปที่สนามกีฬากลาง บางข้อความบนป้ายเขียนว่า กัลปพฤกษ์ช่อที่ 50 นี่เวลามันเดินไวขนาดนี้เลยหรือ (เรียกอีกอย่างว่าแก่) เพราะผมจำได้ว่าผมคือกัลปพฤกษ์ช่อที่ 42
ทีแรกตั้งใจจะไปร้านจิ้มจุ่มริมคลองแถวแต่ก็มาเปลี่ยนใจกระทันหัน อยากไปกินสเต๊กแบบบุฟเฟ่ต์ร้านประจำที่เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษาพวกเราจะมากันแทบทุกเดือน เลยเลือกร้านทีโบนสเต๊ก ขอบอกพิกัดให้ทราบว่าร้านอยู่ริมถนนมิตรภาพเส้นออกไปอุดรธานี อยู่เยื้องๆกับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ราคาต่อหัวตอนนี้อยู่ที่ 149 บาทนะครับ เอาแบบอิ่มจนหายอยากไปอีกนานเลยทีเดียว
ที่มา pantip