Quantcast
Channel: สถานที่ท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยว ข่าวการท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยวในไทย
Viewing all articles
Browse latest Browse all 2719

มินิซีรี่ย์ ท่องเที่ยว 38 วันในญี่ปุ่น วันที่ 7

$
0
0

หลังจากเมื่อวานเราไปทัวร์(บ่อน้ำ)นรก แล้วก็แช่ออนเซ็นเป็นครั้งแรกของชีวิตกันแล้ว (แช่ไปแช่มารู้สึกหน้ามืด…)
วันนี้เราจะลงใต้กันต่อ มุ่งสู่เมืองKumamotoเมืองที่เด่นในเรื่องปราสาทอันงดงามและอยู่ตรงกลางของเกาะคิวชู
แต่ก่อนจะไปถึง ขอแวะผ่านภูขาไฟ Aso ซึ่งยังคงปะทุอยู่ทุกวันนี้ก่อน จะหน้าตาเป็นยังไง ไปดูกัน
IKIMASHO – ไปกันเถอะ!

facebook - https://www.facebook.com/WalkAcrosstheWorld
instagram - http://instagram.com/korkusung

ตอน1 – จากไทยแลนด์สู่เจแปน
ตอน2 – หลงทางในเกียวโต(หลงจริงๆนะ ไม่ได้ตั้งให้ดูเท่ห์)
ตอน3 – เมืองนี้กวางคุม
ตอน4 – Let’s go to โกเบ
ตอน5 – Miyajima เกาะศักสิทธิ์โทริอิลอยน้ำ
ตอน6 – Beppu ทัวร์นรกฮ็อตสปริงค์

วันนี้รู้สึกดีหน่อย ตื่นเช้ามาไม่ค่อยปวดเมื่อยตามตัวมาก สงสัยเป็นเพราะฤทธิ์ของออนเซ็น
ก่อนเช็คเอาท์ก็อยากจะแช่อีกซักรอบแต่ว่าเค้าปิดทำความสะอาดในตอนเช้าน่ะ…
หลักในการเดินทางของเราคือ ตื่นให้เช้าที่สุด เพื่อจะได้ขึ้นรถไฟไปเที่ยวที่ใหม่เร็วๆ แล้วไปหลับต่อในรถเอา..
คำเตือน…ไม่แนะนำสำหรับการเดินทางคนเดียว เพราะอาจหลับจนเลยได้ แต่ผมลองแล้วไม่มีเลยป้ายซักครั้งนะ
รถไฟที่เราจะนั่งวันนี้มีชื่อเท่ห์มาก Trans-Kyushu Limited Express …สีท่าจะให้อารมณ์เหมือนรถไฟ Trans-Siberia
เป็นรถด่วนของค่าย JR นี่แหละ วิ่งระหว่าง Beppu ไป Hitoyosi โดยผ่าน Oita และ Kumamoto

Kumamoto17

นั่งรถผ่านป่าเขาลำเนาไพรแลภูเขาลูกแล้วลูกเล่า คุณพนักงานสาวก็เอาของมาแจก
เป็นโปสการ์ดแล้วมีตราให้ปั้มกับลูกอม..บ็วยมั้งนะ จำไม่ได้..
อยากจะใช้เวลาให้คุ้มค่านั่งมองวิว…แต่มันเต็มไปด้วยต้นไม้…คร่อกZZzz หลับดีกว่า

และแล้วก็ถึงสถานีAso สถานีเล็กๆ ข้างในเป็นห้องแอร์มีร้านอาหารศูนย์ข้อมูล และที่สำคัญ..
Coin locker ตู้ฝากกระเป๋า ถ้าเต็มนี่จบชีวิตเลยนะ แบกกระเป๋าลากอันบะเล้งไปขึ้นภูเขาไฟ..
ถ้าใครไม่มีเหรียญย่อย ไปขอศูนย์ข้อมูลแลกเหรียญได้นะ

ออกมาอีกด้านนึงของสถานีแล้วเลี้ยวขวา จะเจอตู้ซื้อตั๋วรถเมล์ไปขึ้นภูเขา
วันนี้แดดแรงนิด แต่ยอมร้อนถ้าฟ้าใส..จะได้ถ่ายรูปสวยๆ
แต่เห็นดูร้อนๆอย่างงี้ ลมเย็นใช้ได้นะครับ ใส่เสื้อแขนยาวไว้ก็ดีจะได้กันทั้งลมทั้งแดด
ตอนผมไปมีนักท่องเที่ยวไม่ถึงสิบคน มีคนไทยอยู่ครอบครัวนึง แต่ผมไม่ได้คุยด้วย…พอดีถือศีลงดพูดไทย(ถ้าไม่จำเป็น) 555+

ค่ารถ 650 เยน นั่งประมาน30นาทีเพื่อไปสถานี Aso nichi (ไม่ได้ไปถึงยอดบนสุดนะ)
ตารางรถดูได้จากเว็บนี้นะครับ รถมีน้อย กะเวลานั่งรถไฟมากันให้ดีๆล่ะ

http://www.kyusanko.co.jp/sankobus/rosen/bt62t233_e.php?Yyyymmdd=now&Tei_Cd=000048

สำหรับวิวนี่ บอกตรงๆ เกิดมาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลย ให้อารมณ์เหมือนอยู่นิวซีแลนด์เวอร์ชั่นแห้งแล้ง (พึ่งพ้นหน้าหนาวต้นไม้ใบหญ้าเลยยังไม่เจริญเติบโตดี)
จะว่าสวยมันก็ไม่เชิง รู้สึกเป็นอะไรที่แปลกใหม่แล้วไม่นึกว่าจะหาได้ในญี่ปุ่น
ระหว่างทางรถจะจอดที่ youth hostel ด้วยนะ เพื่อใครอยากเปลี่ยนอารมณ์มานอนใกล้ภูเขาไฟ

เมื่อมาถึงป้ายAso-nichiกลับพบว่า…ropewayปิดปรับปรุงจ้า…เศร้า…ตอนนี้คงเปิดละมั้ง
เค้าให้ซื้อตั๋วรถบัสขึ้นไปแทน รถจะมาทุกๆ20นาที
ตั๋วรถบัสเอาไปเป็นส่วนลดsoft creamบนนี้ได้นะ
ในอาคารนี้ก็จะเป็นร้านขายของฝากขนาดใหญ่ แต่เนื้อด้วยเราไม่เน้นช็อป(เพราะไม่มีตัง) เลยเดินสำรวจก็พอ
ไม่รู้ว่าเหตุใด…รูปมันหาย..สงสัยจะไล่ลบตอนเม็มเต็ม

รถบัสมาแล้วจ้า
ข้างบนนี้คนเยอะนะ มาต่อแถวรอรถก่อนก็ดี
สังเกตุได้ว่า…ทัวร์จีนเยอะมากกกก ไม่ได้มีอคติอะไรกับทัวร์จีนซักนี้สสสสสสสสสสสสเลยนะ

ได้นั่งหลังคนขับเลย
ใครจะขับรถขึ้นไปเองก็ได้นะ แต่จะมีด่านเก็บค่าใช้จ่ายด้วย

ทั้งข้างบนใกล้ปล่อยภูเขาไฟและข้างล่างตรงร้านขายของฝาก จะมีป้ายที่มีสัญาณไฟบอกระดับการactiveของภูเขาไฟ
ถ้าเป็นสีเหลืองกับสีแดงเค้าจะไม่ให้เราเข้าไปดูใกล้ๆ
อ้อ….ชมปล่องภูเขาไฟระยะใกล้นี่เป็นข้อห้ามสำหรับผู้ที่เป็นโรคหอบหืดนะครับ
ถึงจะไม่เป็นก็ระวังตัวหน่อยก็ดี หาผ้าปิดปากมาใส่ไว้ก่อน

ถ้าข้ามสะพานนี้ไปจะเป็นโซนที่ชมปล่อยภูเขาไฟแบบระยะที่ลื่นล้มตกลงไปนี่โดนต้มได้เลย
ตอนนี้สัญญานไฟเป็นสีส้มก็…อด!

แถวๆนี้จะมีหอเล็กๆให้ขึ้นไปถ่ายรูปชมวิว
รู้สึกอย่างกับอยู่ดาวอังคาร

ดูรูปที่ผ่านๆมาเหมือนจะเหงาๆไม่มีคนเนาะ
แต่จริงๆแล้วคนเยอะมากเลย ทั้งนั่งรถบัสขึ้นมา แล้วก็เดินมาเอง

เห็นควันมันดูจางๆอย่างนี้ แต่อาณุภาพมันรุงแรงอยู่นะครับ
อยู่ไกลๆยังทำเราไอได้

สาระซักนิดนะ ภูเขาไฟAsoนี่นับว่าเป็นภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นที่ยังคงactive และยังคงเป็น 1 ใน Caldera (หลุมทีเกิดจากภูเขาไฟมันระเบิดแล้วยุบตัวลง)ที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยนะ มีเส้นรอบวง 120 กม . และความสูงจากระดับน้ำทะเล 1592 ม.

เศร้าใจ..อดเข้าไปดูปากปล่องใกล้ๆ เคยเห็นรูปในเน็ตแล้วมันจะเป็นบ่อน้ำสีฟ้า

ไม่มีไรทำ..กลับแล้วก็ได้..ขากลับก็นั่งรถบัสลงเช่นเดิม
เห็นนักท่องเที่ยวเยอะมากที่เดินขึ้นมา มีรุ่นลุงรุ่นป้าตั้งเยอะทั้งฝรั่งและญี่ปุ่น จริงๆแล้วถ้าเดินก็ประมาณครึ่ง ชม.เอง ทางก็ไม่ใช่จะชันด้วย
นึกละเสียดายที่เลือกนั่งรถ ถ้าใครจะมาผมแนะนำให้มาช่วงหลังจากนี้ดีกว่า รอให้ต้นหญ้ามันขึ้นก่อนจะได้สวยๆ
แล้วขาขึ้นก็นั่งกระเช้าขากลับก็เดินเอา  อ้อ…แถวๆหน้าพิพิธภันท์ภูเขาไฟที่อยู่ระหว่างทางเค้ามีบริการขี่ม้าด้วยนะ
แต่เห็นม้ามันโดนจับให้ยืนนิ่งเป็นแถวกลางแดดละสงสาร..

วัดแถวๆสถานีขึ้นropeway

ขาลงจากภูเขานี่หลับรวดเดียว…ร่างกายเหนื่อยล้าอย่างหนัก  คร่อกZzzz
จากนี้เราจะเข้าเมือง Kumamoto กัน
ระหว่างทางผมไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลยนะครับ ของเยอะแล้วมันก็มีแต่ต้นไม้ใบหญ้าเลยขี้เกียจหยิบกล้อง
แต่คนที่ขึ้นรถไปด้วยน้อยมาก เค้าจะมีรถด่วนพิเศษที่ชื่อว่า Aso boy หลายๆคนอาจเคยได้ยินมาบ้าง
แต่มันทำการแค่บางวันเฉยๆ ผมเลยได้นั่งรถหวานเย็นธรรมดาแล้วต้องเปลี่ยนรถที่สถานี Higoozu
บนรถมีคนผม คนญี่ปุ่น สองสามคน แล้วก็กรุ๊ปป้าๆลุงๆชาวจีนสิบกว่าคน
ระหว่างทางรถมันจะมีการแล่นถอยหลังเปลี่ยนขบวน เปลี่ยนสายบ้าง เล่นซะไม่กล้าหลับเลย
แล้วตอนเปลี่ยนขบวนผมก็ลงไปยืนรอหน้าประตู(โบกี้เดียวกับแต่คนละประตูกับแก็งคนจีน) พอประตูเปิด
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พวกเขาทำอย่างงี้ ทั้งโบกี้มีแค่สิบกว่าคน พอประตูเปิด แม่ngมีการวิ่งมาเบียดผมขึ้นรถไฟด้วย…
แต่ลุงๆป้าๆแกตัวก็เล็กก็..ฉะนั้นอย่าหวังว่าจะแซงได้เลยนะ…ฮึ

หลังจากเปลี่ยนขบวนที่สถานีHigoozuก็มาอยู่ในรถอีกคันที่ดู….เจริญขึ้น
พร้อมไปกับมุ่งหน้าเข้าสู่ความเจริญ..หลังจากที่สัปหงกไปหลายตลบ
รถไฟที่นั่งอยู่ตอนนี้คือสาย Hohi ที่เชื่อมระหว่าง Oita กับ Kumamoto

เอาเป็นว่า เราวาร์ปมาที่ตัวเมืองคุมาโมโตะเลยละกัน
สถานีรถไฟมีขนาดใหญ่ อันประกอบด้วยร้านรวงต่างๆมากมายอันได้แก่ Daiso , KFC ,ร้านอาหารอีกหลายชนิด และ plazaเล็กๆ
เมืองนี้เค้าเดินทางกันด้วยรถรางเป็นหลัก(มีแค่สองสายเอง) เดินตรงออกมาจากสถานีJR ก็จะเจอกับจุดขึ้นรถรางเลย
ตอนขึ้นไปบนรถยืนอยู่ข้างสาวฝรั่งคนหนึ่ง เค้าขอซื้อตั๋ว 1 day กับพนักงานบนรถราง ก็เลยนึกได้ว่าต้องซื้อตั๋วด้วยนี่หว่า เลยขอซื้อด้วยเลย ค่าโดยสารจะเป็นแบบ flat หรือ 150เยน ตลอดสาย  แต่เหมือนว่าเราสามารถลงรถที่สถานีจุดตัดของทั้งสองสาย
แล้วเปลี่ยนสายแล้วค่อยจากที่อีกคันก็ได้ ผมเห็นคนญี่ปุ่นเค้าทำกันตอนค่ำๆแล้วอ่ะ และก็ไม่รู้ว่ามันต้องทำยังไงนี่ซิ…

คืนนี้เราพักกันที่ Dyeing and Hostel Nakashimaya

http://www.booking.com/hotel/jp/dyeing-and-hostel-nakashimaya.en-gb.html?sid=abeac99c376b8c0f28d466861227e3d9;dcid=2

เป็นห้องรวมนอนฟูก ค่าเสียหาย 2500เยน เป็นที่พักที่ตกแต่งได้ถูกใจผมมาก โคตรจะญี่ปุ่นเลย ตามทางนี่จะมีพวกของแต่งบ้านสไตล์ญี่ปุ่นเต็มไปหมด มีชุดเกราะซามูไร กิโมโนอะไรด้วย แล้วสวิตไฟเค้าจะออโต้แทบทั้งตึก เสียดายห้องน้ำไม่มีแบบมีอ่าง กับชักโครกเป็นแบบ traditional เจแปนนีส (ที่มันนั่งยองๆอ่ะ หรือมันมีแบบตะวันตกแล้วผมหาไม่เจอ…) คุณพี่ชายคนดูแลก็เฮฮามาก อ้อ ที่นี่เค้าเป็นโรงบ้อมผ้าเก่า เค้ามีสอนย้อมผ้าแบบญี่ปุ่นกับเพ็นท์รองเท้าด้วย ..แต่เสียตังเพิ่มนะ
เช็คอินเรียบร้อย กะงีบซักแปป แต่ดูจากเวลาก็ปาไปสามโมงแล้ว รีบไปก่อนปราสาทจะปิด

เดินจากโฮสเทลไปขึ้นรถรางที่หน้าปากซอย ขณะยืนรออยู่นั่ง มีชายญี่ปุ่นวัยกลางคนท่านหนึ่ง…มาคุยด้วย
คุณพี่แก่ถามว่า…ปราสาทKumamotoไปทางไหน…. โอ้ววววว เจอคนญี่ปุ่นถามทาง บอกกลับไปว่าไม่ใช่คนญี่ปุ่น พี่แกก็ทำหน้าอยากจะรู้อีก เลยชี้แผนที่สายรถรางแล้วบอกว่าตอนนี้อยู่ตรงนี้ ให้เดินไปทางนู้นนนน และแล้ว..พี่แกก็จากไป…
แล้วอีกเรื่อง..ตอนขึ้นรถราง เห็นไอเด็กวัยรุ่นชาย(ชายอีกแล้ว)แต่งตัวแบบสไตล์นักเลงในการ์ตูนด้วย ไอเสื้อที่มันจะเป็นสีดำทั้งตัว แขนขายาว แล้วมีลายเสือสีเหลืองๆ ทาแว็กจัดทรงซักนิด พอจะนึกภาพกันออกไหมครับ…
อยากจะไปขอถ่ายรูปจริงแฮะ…แต่กลัวจะมีการนองเลือด..

และแล้วก็โผล่มาข้างๆปราสาท เดินไปเจอรูปปั้นของซามูไรคนหนึ่ง
พี่แกมีนามว่า Kato Kiyomasa มีชีวิตอยู่เมื่อ400กว่าปีก่อน
เป็นทั้งวิศวกรที่เก่งกาจและนักรบผู้กล้าหาญ นับได้ว่าเป็นผู้ที่สร้างปราสาทได้เก่งทีสุดในญี่ปุ่น ชื่อเสียงโด่งดังไปถึงเกาหลีและจีนเลยทีเดียว
เค้ามีส่วนTokugawa Ieyasu กำจัดศัตรูบนเกาะคิวชู ในสงครามSekigahara
ซึ่งเป็นสงครามครั้งสำคัญที่ทำให้ตระกูลTokugawa เป็นโชกุน แล้วToykoเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่น
และสงครามที่สำคัญที่สุดของเค้าคือ สงคราม7ปี Seven-Year War
Kato เป็น1ใน3ผู้บัญชาการของสงครามในครั้งนั้น
โดย Kato สามารถบุกยึด Seoul , Busan และเมืองอื่นๆอีกมากมาย ยึดแล้วยังไม่พอ
ยังสร้างปราสาทขึ้นเพื่อป้องกันเมืองที่ยึดมาได้อีก และยังจับเจ้าชายของเกาหลีเป็นตัวประกันได้สองคน
เพื่อต่อรองให้พวกเจ้านายระดับล่างของเกาหลียอมจำนน
กิจกรรมย่ามวางของพี่แก่คือ…ล่าเสือด้วยหอก…โฮกกกก

จุดเด่นของปราสาทแหงนี้คือ ป้อมปราการหินอันแข็งแกร่ง
กว่าจะเดินขึ้นไปด้านบนได้นี่ก็หอบหลายทีอยู่…
ตามทางจะมีป้ายบอก เป็น route ว่าทางนี้ไปไหนใช้เวลากี่นาทีด้วยนะ

เดินไปทางขวาก็เจอกับป้อมสำหรับให้พวกพลธนูพลแม่นปืนเข้าไปจัดการข้าศึก

เดินวนกลับทางเดิมแล้วขึ้นบันไดไปชั้นบนสุด เดินไปมั่วอีกนั่นแหละ จะเจอร้านขายของแล้วจะมีทางเดินใต้ดิน
ตรงทางขึ้นจะเป็นทางชัด เค้าจะมีคนแต่งชุดคอสเพลย์ซามูไรสองคนคอยดูแลคนที่เดินขึ้นเดินลงด้วย
อยากจะขอถ่ายรูปซักหน่อย พี่แกดันบอกขอแป็บนึงเค้าจะดูคนที่เดินลงมาก่อน แต่รอตั้งนานคนก็เดินลงมาตลอด เลยไปก็ได้
ชื่นชมกับความตั้งใจในการทำงานของพี่แกจริงๆ แม้ว่าจะเป็นงานเล็กๆน้อยๆแบบนี้ก็เถอะ

โผล่จากโลกใต้ดินก็จะเจอกับปราสาทเห็นเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้า
มาตอนกลางวันจะแย่หน่อยตรงที่ถ่ายรูปแล้วย้อนแสง
บริเวณสนามหญ้าหน้าปราสาทจะมีอิฐเก่าที่เคยเป็นของวังในสมัยก่อนที่พังไปแล้วเรียงไว้ ไม่รู้ว่าเป็นของเดิมหรือมาเรียงไว้ใหม่กันแน่
ข้างปราสาทจะมีอาคารหนึ่งชื่อว่า Honmaru Golden Palace
เป็นส่วนที่อยู่ของเจ้าเมืองที่เค้าสร้างขึ้นมาใหม่ตามแบบดั้งเดิม
ผมมาดูรูปทีหลังเห็นข้างในแล้วเป็นสีทองสวยงามมาก เสียดายตอนนั้นไม่รู้เลยไมได้เข้าไป…เสียใจ..กระซิกๆ

เข้าไปในปราสาทกัน
ข้างในมีพิพิทธภันท์ของโบราณเต็มไปหมด โดยเฉพาะพวกปืนที่นี่มีเยอะมาก
และที่สำคัญ ข้างในนี้ไม่มีลิฟท์เหมือนกับปราสาทโอซาก้านะครับ
ถ้าใครเคยไปปราสาทอื่นหรือบ้านคนญี่ปุ่นเก่าๆจะรู้ว่า บันไดมันแคบและชันมาก
ตรงทางจะขึ้นชั้นบนสุดนี่ ผมว่าชันซัก 60 องศาได้นะ แล้วมันก็แคบกับเดินยากจนต้องผลัดกันขึ้นชุดนึงลงชุดนึง

วิวจากชั้นบนสุด ฝากนี้เป็นเมือง

อีกฝากนึงจะเป็นภูเขา

ลงจากปราสาทมาถ่ายรูปเล่นดีกว่า
วันนี้โชคดีมาก ฟ้าโปร่งโล่ง แบบไม่มีเมฆเลยซักก้อน
ปราสาทหลังนี้ก็สร้างโดย Kato Kiyomasa ที่กล่าวถึงไปด้านบนนั่นแหละครับ
ใช้เวลาสร้าง 7 ปี แต่หลังจากที่สร้างเสร็จ 50 ปี ปราสาทหลังนี้ก็ถูกตระกูล Hosokawa เอาไปแล้วปกครองเป็นเวลากว่าสองศตวรรษ

ในปี1877 ยุคสมัย Meiji Restoration ในสงคราม Seinan
ปราสาทนี้ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของฝ่ายรัฐบาลบนเกาะคิวชู
ซึ่งถูกคุณกระทาชายนามว่า Saigo Takamori หรือที่เรารู้จักกันดีจากหนังเรื่อง The LastSamurai
หัวหน้ากองกำลังคณะปฏิวัติSatsumaบุกโจมตีนานหลายเดือน แต่ปราสาทหลังนี้ก็มิอาจถูกยึดได้
เป็นอันให้กลุ่มกบฎต้องล่าถอยไป

เดินไปทางด้านหลังปราสาท เห็นมีป้อมหลังนึงดูเหมือนจะเข้าได้ เลยเดินเข้าไปดูซักหน่อย
ต้องถอดรองเท้าแล้วเอาใส่ถุงเข้าไปด้วยนะ(ถุงเค้ามีแจก)
ป้อม Uto

ขึ้นไปชั้นบน จะสามารถมองเห็นตัวปราสาทได้ด้วย
ตอนที่ผมไปถึงก็ใกล้จะได้เวลาปิดละ มีแค่ผมกับลุงผู้ดูแลอยู่กันสองต่อสอง
ลุงแกถ้าจะเห็นผมถ่ายรูปจริงจังเลยชวนคุย มีการทายกันเล่นด้วยว่ามาจากไหน
พอผมตอบว่า ไทยแลนด์ ลุงแกดันเข้าใจว่าเป็นไต้หวันตลอด…..
ที่เคยได้ยินคนเล่าว่าชาวต่างชาติชอบจำไทยแลนด์ผิดเป็นไต้หวันมันเป็นเรื่องจริงซินะ…

ร่ำลาลุง แล้วก็กลับกันดีกว่า แต่ก่อนกลับขอไปนั่งพักชมปราสาทให้คุ้มค่าซักหน่อย
เห็นครอบครัวฝรั่งเค้าพาคนแก่ที่ต้องนั่งวีลแชร์มาเที่ยวแล้วนึกได้ว่าตอนนี้ร่างกายยังแกร่งก็ต้องใช้ให้มันคุ้มค่าซะนะ

ออกคนละประตูกับที่เข้าตอนแรก
เดินเรียบคลองไปเรื่อยๆจะเจอกับ complex ททที่เต็มไปด้วยร้านของฝากกับร้านอาหาร
Kumamon ตัวmascotประจำเมืองKumamoto
เกิดเมื่อปี2010 ในโครงการ Kumamoto Surprise เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
ในปี2011 เค้าได้รับผลโหวตอันดับ1ในบรรดาmascotทั้งหมดของญี่ปุ่น
ซึ่งพี่แกทรงพลานุภาพมาก ขนาดที่ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นบอกว่า ในสองปีที่เค้าออกมาโปรโมตKumamoto
เค้าสร้างรายได้สูงถึง 123.2 พันล้านเยน….ใช่แล้วครับพี่น้อง…ไอหมีดำนี่มันสร้างตังได้มากกว่าให้ผมทำงานจนตายผุดตายเกิด100ชาติอีกแน่ะ

บรรยากาศจะเป็นสไลต์ญี่ปุ่นย้อนยุค สงสัยผมจะมาช้าไปหน่อย ร้านเริ่มปิดกันแล้ว
ผมแค่เดินผ่านเฉยๆเลยขอโพสแต่รูปบรรยากาศนะครับ

ตอนเย็นผมอยากลองไปหาบะหมี่Kumamotoในตำนานทานดู แต่…ไม่รุ้ว่าร้านมันอยู่ไหน..เลยไปเดินshopping arcade
Kamitori-Shirotori ที่เค้าว่ากันว่าใหญ่ที่สุดที่ตะวันตกของญี่ปุ่น แต่เห็นอยู่แค่ร้านเดียวที่มีคนชูป้ายหมีคุมะมง
เลยตัดสินใจไปหาไรกินแถวสถานีรถไฟดีกว่า
ไม่รู้ว่าทำไมผมไมได้ถ่ายรูปถนนนี้ไว้ สงสัยจะหิวจนลืมถ่ายรูป แฮะๆ
แต่ถนนนี้ผมว่าไม่ค่อยจะมีอะไรแปลกตาซักเท่าไหร่ ร้านอาหารก็น้อย ที่เด็ดคือนักเรียน ม ปลาย ชอบมาชุมนุมกันตรงที่จอดจักรยาน
ร้านราเม็งที่สถานีรถไฟ

ราเม็งอะไรซักอย่างที่อร่อยมากกกกก แต่ชั้นไขมันด้านบนนี่อย่างหนาเลย เค้าบอกว่าชั้นไขมันนี่จะช่วยเก็บความร้อนได้ดี

เนื่องด้วยไม่ได้กินข้าวเที่ยง เลยหิวอย่างหนักหน่วง
ขอจัดอีกซักชามละกันน่า เดินเข้าcomplexที่ติดกับสถานีรถไฟไปชั้นสอง
..คำเตือน..การกินราเม็งติดต่อกันสองชามเป็นอะไรที่แน่นท้องมาก..ขนาดมันต่างกับบะหมี่บ้านเราลิบลับเลยนะ

โฮสเทลที่ผมอยู่นี่มีดาดฟ้ามองเห็นปราสาทด้วยนะ

เอาเป็นว่าขอจบวันที่ 7 เพียงเท่านี้นะครับ
อย่าลืมเม้น + กดถูกใจ ให้กำลังใจเข้าของกระทู้ด้วยนะครับ

ตอนหน้าพบกับ Kagoshima เมืองเนเปิ้ลแห่งตะวันออก และบ้านเกิดของThe Last Samurai

The post มินิซีรี่ย์ ท่องเที่ยว 38 วันในญี่ปุ่น วันที่ 7 appeared first on สถานที่ท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยว ข่าวการท่องเที่ยว.


Viewing all articles
Browse latest Browse all 2719

Trending Articles


โปร ROV ตีแรง อมตะ คอมโบ้ เวอร์ชั่นล่าสุด


หลุด พลอย เฌอมาลย์ เห็นหัวนมในฉากเลิฟซีน 18+


amp*payment bangkok ในบัตรเครดิต UOB คือะไร มีใครทราบไหมครับ


คิดว่ามีอนิเมะเรื่องใหนไม่เคารพ มังงะ/นิยาย บ้างครับ?


อ.จุฑารัตน์ ดูดวงวงศ์สว่าง21 ไม่เปิดหรอ?


Notability อัปเดตใหม่เพิ่มฟีเจอร์เปลี่ยนลายมือให้เป็นตัวพิมพ์ภาษาไทยได้แล้ว


ประกาศรายชื่อ Matching แพทย์ประจำบ้านเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ปีการศึกษา 2559 รอบที่ 1


ใส่สีตารางสลับแถว เว้นแถว Excel 2016 | 2013


โหลดโปรแกรม Cheat Engine สำหรับเก็บเลเวลในเกมส์


ใครรู้จักบริษัท the singular group บ้างครับ...


มันคือเพลงอะไรใครทราบบ้าง


มีเบอร์แปลกๆ ส่งการยืนยัน Google SIM มา


คลิปซูฉีอาบน้ำ เห็นหมด รีบดูก่อนโดนลบ


ใหม่ All New ISUZU D-MAX Super Daylight 2014-2015 ราคา อีซูซุ ดีแมคซ์ ซูเปอร์...


ด่วน! สพป.สกลนคร เขต 1 รับสมัครลูกจ้างชั่วคราว และครูอัตราจ้าง 10 อัตรา


จากนางแบบเซ็กซี่สู่เจ้าหญิง!! เจ้าหญิงโซเฟียแห่งสวีเดน กับเส้นทางชีวิตสุดแซ่บ


สรุปทุกสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ Pivot Table


เล่นแร่แปรสูตร : การแปลงวันที่ Text ให้เป็นวันที่ Date


การเขียนแม่ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ 3D ด้วย Artcam (ตอนที่ 1)


กลัวความลับหลุด เครียดมาก